ก่อนใช้รถคุณได้เช็กสภาพยางเป็นประจำหรือไม่? หากคำตอบของคุณคือไม่ หมายความว่า คุณกำลังละเลยเรื่องความปลอดภัยอยู่ และนำไปสู่จุดเริ่มต้นของการเกิดอุบัติเหตุได้! ยางรถยนต์เป็นหนึ่งในอะไหล่รถที่คุณจะต้องหมั่นตรวจเช็กเสมอ แล้วคุณรู้หรือไม่ว่า “เมื่อไหร่ที่คุณควรเปลี่ยนยางรถยนต์” หากไม่รู้ไม่เป็นไร เพราะเราจะพาคุณไปดูสัญญาณเตือน ที่บ่งบอกว่าคุณควรเปลี่ยนยางรถยนต์ได้แล้ว
เปลี่ยนยางรถยนต์เมื่อครบอายุการใช้งาน
ยางรถยนต์เห็นแข็งแรงแบบนี้ ก็มีวันหมดอายุได้เหมือนกัน ควรเปลี่ยนยางรถยนต์เมื่อใช้งานมาแล้ว 3 ปี หรือให้เปลี่ยนยางรถยนต์ เมื่อคุณขับรถไปถึงระยะ 30,000 – 50,000 กิโลเมตร ทั้งนี้ให้ตรวจสอบสภาพยางรถยนต์ของคุณด้วยวิธีอื่น ๆ ร่วมด้วย หากมีการชำรุด คุณจะต้องเปลี่ยนยาง ก่อนครบอายุการใช้งาน
เปลี่ยนยางรถยนต์เมื่อดอกยางสึก
ในกรณีที่คุณไม่มั่นใจว่ายางของคุณถึง 3 ปีแล้วหรือยัง อีกทั้งยางรถยนต์แต่ละยี่ห้อนั้นมีคุณภาพแตกต่างกัน และขึ้นอยู่กับการใช้รถของคุณอีกด้วย ให้หมั่นสังเกตดอกยาง หากดอกยางของคุณสึก มีรอยแตก จะทำให้ประสิทธิภาพในการเกาะถนนรถลง ยิ่งอันตรายมากหากคุณขับรถในช่วงหน้าฝน จะทำให้รถของคุณลื่น และเบรกไม่อยู่ได้ ก่อนขับรถให้เช็กลมยางก่อนว่าดอกยางของเรายังอยู่ดีหรือไม่ และอีกเทคนิคหนึ่งที่ช่วยยืดอายุยางรถยนต์คือการสลับล้อรถ เอาล้อหน้ามาสลับกับล้อหลังข้างเดิม เพื่อช่วยให้ชะลอการสึกหรอของดอกยางได้
เปลี่ยนยางรถยนต์เมื่อเกิดความเสียหาย
บนถนนมักจะมีสิ่งกีดขวางที่คาดไม่ถึงเสมอ อาจจะเล็กจนเรามองไม่เห็นได้ เช่น เศษตะปู นอต สิ่งเหล่านี้มักจะชอบมาฝังในล้ออยู่เรื่อย บางทีหลบได้ก็แล้วไป แต่ส่วนมากมันจะหลบไม่พ้นกัน เพราะเล็กเกินจนไม่ทันสังเกต เมื่อโดนนอตหรือตะปูตำล้อรถ อย่าพึ่งดึงออกทันที ให้ไปที่ร้านยางแล้วค่อยให้ช่างดึงออกให้ ไม่งั้นยางลมจะออกแล้วแฟ่บหมด ทำให้ขับต่อไปไม่ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการประเมินว่า ล้อถูกตำไปลึกแค่ไหน หากลึกไม่มากอาจเลือกแก้ไขด้วยการปะยาง แต่หากโดนตำเข้าไปลึก หรือโดนดำหลายจุดแนะนำให้เปลี่ยนยางรถยนต์ใหม่เลยจะดีกว่า
เปลี่ยนยางรถยนต์เมื่อยางบวม
เมื่อคุณรู้ตัวว่า ได้ขับรถไปกระแทกกับขอบฟุตบาทเข้า ให้รีบทำการสำรวจสภาพยางรถยนต์ในทันที เพื่อดูว่ายางของคุณนั้นมีอาการบวมหรือไม่ ถ้าหากยางรถยนต์บวม ให้คุณทำการหาร้านเปลี่ยนยางไว้ได้เลย เพราะอาจต้องเปลี่ยนยางรถยนต์ใหม่ หากคุณดื้อฝืนขับต่อไปเป็นเวลานาน ความร้อนจากการเสียดสีของล้อกับถนน จะไปสะสมตรงจุดที่เกิดการบวม ทำให้ยางระเบิดจนเกิดอันตรายได้
จากสัญญาณเตือนที่เราได้บอกไปนั้น เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ ให้คุณหมั่นตรวจเช็กสภาพยางรถยนต์เสมอ นอกจากเช็กสภาพยางแล้ว อย่าลืมที่จะเช็กลมยางด้วย คอยเติมลมยาง ไม่ปล่อยให้ยางแบน ซึ่งวิธีการเติมลมยางมี ดังนี้
- รถยนต์ขนาดเล็ก เติมลมยางประมาณ 25-32 PSI
- รถยนต์ขนาดกลาง เติมลมยางประมาณ 30-35 PSI
- รถกระบะ เติมลมยางประมาณ 38-40 PSI
หากคุณดูแลรักษายางของคุณได้ดี จะทำให้ไม่ต้องมาเปลี่ยนยางรถยนต์บ่อย ๆ และช่วยป้องกันการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนได้ ทั้งนี้หากมีปัญหาเรื่องยาง ประกันรถยนต์ชั้น 1 ช่วยคุณได้ เพราะเรามีบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน ไม่ว่าคุณจะรถเสีย ยางแตก อยู่ที่ไหน เราก็พร้อมไปช่วยเหลือคุณ ด้วยการออกค่าดำเนินการเคลื่อนย้ายรถยนต์ของคุณไปยังศูนย์หรืออู่ซ่อมตลอด 24 ชั่วโมง และยังมีศูนย์ซ่อมครอบคลุมทั่วไทย ไว้รองรับความต้องการของคุณ อยากซ่อมรถแบบไหน ที่ไหน คุณเลือกได้ มีศูนย์ให้เลือกทั่วไทย